ในยุคที่คุณรุ่งเรือง ไม่ว่าใคร ก็ตั้งใจที่จะล้มทีมคุณให้ได้ และการเอาชนะทีมคุณให้ได้สักนัดในฤดูกาล มันเป็นความสำเร็จที่ล้ำค่าที่สุดของพวกเขาทั้งฤดูกาล
เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน เคยเอาชนะ แมนฯยูไนเต็ด ที่โอลด์ แทร็ฟฟอร์ดได้เป็นหนแรกในรอบ 35 ปี ยุคของ เดวิด มอยส์ เมื่อปี 2013 พวกเขาถึงกับทำ DVD ออกมาวางขายเป็นที่ระลึกจากความสำเร็จครั้งนั้น เพียงแค่ชัยชนะเกมเดียว
แต่ปัจจุบันการเอาชนะ แมนฯยูไนเต็ด เป็นเรื่องที่ใครก็สามารถทำได้ไปเสียแล้ว
แม้แต่โอเล กุนนาร์ โซลชา ยังออกมาให้สัมภาษณ์หลังเกมว่า นัดล่าสุด แมนฯยูไนเต็ด กับ เวสต์แฮม ทั้งคู่เล่นกันได้อย่างสูสี จนมีคำถามว่า “นี่เดี๋ยวนี้ คุณภาพ แมนฯยูไนเต็ด กับ เวสต์แฮม สูสีกันแล้วหรือ?”
หากถามด้วยคุณภาพทีมตอนนี้ ก็ใช่ครับ ด้วยระดับฝีเท้า คุณภาพผู้เล่นของแมนฯยูไนเต็ด ตกลงไปมาก พวกเขาจึงแทบจะตกไปอยู่ใกล้กับสถานะของ “ขุนค้อน” อยู่แล้ว
ผู้เล่นในทีมที่ปราศจากสตาร์นอกจากปอล ป็อกบา และ ดาบิด เด เคอา , ทีมที่ไร้ซึ่ง “กระดูกสันหลัง” นอกจากนักเตะดาวรุ่งและวัยเก๋าดาวค้างฟ้า และทีมที่ไม่มีนักเตะ “ช่วงพีค” นอกจากป็อกบา คอยประคองเพื่อน
ทีมที่ไม่มีกองหน้าตัวเป้าธรรมชาติ มีแต่ตัวรุกที่เคยเล่นริมเส้น (อ็องโตนี่ มาร์กซิยาล และ มาร์คัส แรชฟอร์ด) , วันที่ผู้เล่นกองกลาง และแผงแดนบน มีตัวเลือกให้หยิบจับใช้งานได้น้อยเหลือเกิน
มันจึงกลายเป็นเหมือนขุนพลทหารที่มีโล่ประจำกายที่แข็งแกร่ง (ทีมเน้นเสริมกองหลังเป็นหลักในช่วงซัมเมอร์) แต่ปราศจากอาวุธปืนอานุภาพรุนแรงที่จะโจมตีฝั่งตรงข้าม
เมื่อไม่มีอาวุธ ก็เท่ากับว่า ไม่มีทีมใดต้องเกรงกลัวแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดอีกต่อไป
แต่ทว่า ปัญหาของ แมนฯยูไนเต็ด ไม่ได้มีแต่เพียงที่สมดุลที่ขาดหาย (ขาดกองหน้าและกองกลางที่ดีพอและเหมาะสม) แต่หมายถึง วิธีการเล่น และความเข้าใจในเกมด้วย
ยูไนเต็ด ไม่มีการเคลื่อนที่ของผู้เล่นที่ฉับไว และจับทางยากเหมือนลิเวอร์พูล และ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ และผู้เล่นแต่ละคนก็ดูจะเหมือนยังสื่อสารไม่เข้าใจกัน
ทั้งหมดนี้ก็มาจากสองสาเหตุคือ 1.ความสามารถของตัวผู้เล่นเอง และ 2. มาจากแผนการเล่นของโค้ช (ซึ่งต้องรับไปเท่าๆกัน)
แม้จะเข้าใจว่า แมนฯยูไนเต็ด กำลังอยู่ในช่วงสร้างตัว สร้างทีม และยังคงรอผู้เล่นที่เหมาะสม มาเสริมในแดนกลางและแดนหน้า แต่ “ปีศาจแดง” ก็จำเป็นต้องมีไอเดียหรือวิธีการเข้าทำที่สร้างสรรค์ให้พอเห็นบ้าง
และก็เป็นไปได้อีกว่า สิ่งเหล่านั้นจากย่อหน้าเมื่อครู่ คงจะหาได้จากนักเตะเพียงคนเดียวในทีมก็คือ “ป็อกบา” และชัดว่าเมื่อแข้งแชมป์โลกเลือดเฟร้นช์เจ็บไป ทีมแทบจะไร้ไอเดียในเกมรุกทันที
ล่าสุด โฆษกสโมสรแมนฯยูไนเต็ด ออกมายืนยันว่า ทีมจะยังคงมองหาผู้เล่นชั้นยอดมาเสริมทีมต่อไปในอนาคต ต่อจากอีก 3 คนที่มีคือ แฮร์รี แม็กไกวร์ , แอรอน วาน บิสซากา และ แดเนียล เจมส์
แต่กว่าจะถึงช่วงที่ตลาดซื้อขายนักเตะเปิด “ปีศาจแดง” จะต้องผ่านช่วงเวลาตรงนี้ไปให้ได้ มันโหดร้าย เพราะพวกเขามีกันเท่านี้ กับผู้เล่นที่มีคุณภาพจำกัด กับเหล่าดาวรุ่ง
แฟนบอลต้องทำความเข้าใจว่า สโมสรกำลังสร้างทีม และยังสร้างไม่เสร็จ สโมสรไม่อยากทุ่มเงินซื้อนักเตะที่เห็นแต่เงินเป็นสำคัญ ไม่มีความรักให้กับสโมสร การจะหานักเตะใหม่ที่อยากเล่นให้กับทีมจริงๆ (และฝีเท้าดีด้วย) ไม่ใช่เรื่องง่าย
ท้ายที่สุด ก่อนที่สโมสรจะทุ่มเงินอีกก้อนให้กับ โซลชา ในตลาดช่วงเดือนมกราคม หรือซัมเมอร์ปีหน้า
ช่วงเวลาที่เหลืออีก 3 เดือนเศษ จนกว่าจะถึงเดือนมกราคม จะเป็นการพิสูจน์กึ๋นของโซลชา ว่าหากคุณมีตัวเลือกนักเตะที่จำกัด คุณจะสามารถใช้นักเตะที่มีแค่นี้ แต่ก่อให้เกิดประโยชน์สูงที่สุดได้ดีแค่ไหน?
เป็นงานที่ยากมาก แต่ช่วง 3 เดือนที่กำลังจะมาถึง มันคือเวลาที่สำคัญที่สุดในชีวิตการคุมทีมของโซลชา ว่าภายใต้เงื่อนไขที่จำกัด เขาจะสามารถเข็นทีมให้เอาตัวรอด อยู่ใน 5 อันดับแรกได้หรือไม่?
โค้ชทุกคนย่อมต้องการนักเตะที่ดีที่สุด แต่โค้ชทุกคนอีกเช่นกันที่ย่อมต้องเคยเจอกับสถานการณ์บีบคั้น เช่นนักเตะเจ็บ , นักเตะไม่พอใช้ , นักเตะมีขีดจำกัดทางศักยภาพ
แต่โค้ชเหล่านั้นที่แกร่งพอ จะพาทีมผ่านไปด้วยสิ่งที่เรียกว่า “กึ๋น”
กองทัพเร้ดอาร์มี่ที่ยังเป็น “#ทีมโซลชา” ก็ภาวนาให้อดีตดาวยิง “เพชฌฆาตหน้าทารก” มีซึ่งสิ่งนั้น
แนท ณรินทร์ภัทร บุณยวีรพันธ์
Post a Comment